Last updated: 1 มี.ค. 2567 | 15470 จำนวนผู้เข้าชม |
ชีวิตที่เร่งรีบแข่งขันกับเวลาทำให้เรามีเวลาสำหรับการเตรียมอาหารมื้อสำคัญ เช่นอาหารเช้าที่อยู่ในชั่วโมงเร่งด่วนน้อยมาก แต่กระนั้นร่างกายยังต้องการพลังงานและสารอาหารสำหรับการทำกิจกรรมระหว่างวันก่อนมื้อเที่ยง หรือสำหรับบางคนอาจจะทั้งวัน ดังนั้นทางเลือกของเมนูอาหารในช่วงเวลาเร่งด่วนอาจจะมีให้เลือกไม่มากนัก อาหารชั่วโมงเร่งด่วนที่ไม่ใช่อาหารจานด่วนจะต้องเป็นอาหารที่กินง่ายๆ สำหรับปัจจุบันอาหารจำพวกนี้อับดับต้นๆ คงไม่พ้นแซนวิชเพราะไม่ว่าจะขับรถหรือนั่งทำงานอยู่ออฟฟิศหรือเวลารีบๆ แล้วหิวอยากกินอะไรง่ายๆ เร็วๆ แซนวิชก็มักเป็นคำตอบ ชีวิตเรียบง่ายกับเมนูช่วงเร่งด่วนอาจจะเพียงแซนวิชสักหนึ่งชิ้นกับกาแฟสักหนึ่งแก้วก็พอคลายหิวไปได้
เมื่อพูดถึงแซนวิชทำให้นึกถึงแซนวิชหมูหยองสมัยที่ยังเด็ก แซนวิชหมูหยองชิ้นละ 5 บาท มีน้ำสลัดสีเหลืองบนขนมปังก่อนถึงไส้ที่เป็นหมูหยองในวันวาน กัดแค่เพียงหนึ่งคำไส้หมูและน้ำสลัดสีเหลืองก็หมดแล้วเหลือเพียงขนมปังเปล่าๆ สมัยนั้นแซนวิชเป็นเมนูสุดหรู กินตอนเช้าก่อนเข้าเรียน และเป็นขนมยามว่าง หาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไป ไม่ว่าจะซื้อมาจากร้านไหน ไส้ของแซนวิชหมูหยองน้ำสลัดสีเหลืองนี้มีปริมาณไส้เหมือนกันทุกร้าน อาจจะเป็นเพราะว่าการทำน้ำสลัดสีเหลืองสำหรับทาขนมปังเพื่อทำแซนวิชและหมูหยองที่เป็นไส้นั้นทำได้ไม่สะดวก แต่ด้วยรสชาติ อร่อย ทำให้ยังคงเป็นเมนูที่ไม่มีใครลืม
มาทำความรู้จักกับแซนวิชกันสักนิด คำว่าแซนด์วิชหรือที่เขียนกันแบบนิยมว่า แซนวิช นั้นเป็นคำทับศัพท์ มาจากคำว่า Sandwich ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมอย่างหนึ่งของโลกตะวันตกและเป็นอาหารที่เก่าแก่ จากคำนิยามของพจนานุกรม Webster ว่า แซนวิช คืออาหารที่ประกอบด้วยการนำอาหารหนึ่งอย่างหรือมากกว่ามาใส่ระหว่างขนมปัง ส่วนความหมายจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายของแซนวิช ไว้ว่า เป็นขนมปังคู่หนึ่งที่ประกบกันตรงกลางประกอบด้วยแฮม ชีส ไข่ดาว แตงกวาดองแล้วทาด้วยมายองเนส มัสตาร์ดหรือแยม
โดยต้นกำเนิดที่ทำให้แซนวิชโด่งดังเกิดขึ้นในยุค ค.ศ.1700 (พ.ศ.2243-2342) เมื่อ “John Montagu, 4th Earl of Sandwich” เอิร์ลที่ 4 แห่งแซนด์วิช (แซนด์วิชในที่นี้เป็นชื่อเมืองเล็กๆ ในตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ) ได้ประดิษฐ์แซนวิชโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ท่านเอิร์ลผู้นี้เป็นผู้ที่ชอบการเล่นพนันเป็นอย่างมาก แม้แต่เวลาอาหารก็ไม่สนใจ ท่านเอิร์ลจึงสั่งให้คนรับใช้ไปทำอาหารมาที่ไม่ใช้เวลาในการรับประทานมาก และไม่ทำให้สำหรับไพ่เลอะเทอะ ไม่เสียเวลาในการเล่นการพนัน โดยอาหารนั้นมีขนมปังกับเนื้อ ท่านเอิร์ลจึงสั่งให้นำขนมปังประกบลงบนเนื้อเพื่อที่จะได้ถือกินได้สะดวกในเวลาที่เล่นไพ่ เมื่อสมาชิกวงพนันคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น จึงสั่งเมนูนี้ตามท่านเอิร์ล แซนวิชจึงได้ถือกำเนิดนับแต่นั้นมาและค่อยๆ ขยายความโด่งดังไปทั่วทุกมุมโลก โดยแซนวิช ที่ทำเป็นชิ้นแรกนั้น คือการใช้ขนมปังปิ้งสองแผ่นมาประกบเนื้อวัวหมักเกลือ หรืออาจกล่าวได้ว่า แซนวิชครั้งนั้น มีเนื้อวัวหมักเกลืออยู่ตรงกลางระหว่างขนมปังปิ้งสองแผ่น
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่าเกี่ยวกับแซนวิชอีกเรื่อง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นที่รู้จักในประเทศไทยครั้งแรกที่นครศรีธรรมราช เป็นเรื่องเล่าการเดินทางค้าขายของนายแซม เมเจอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษ และลูกเรือที่ชื่อนายสน ในสมัยพระนารายณ์มหาราช โดยมีเรื่องเล่าว่าเรือของนายแซมโดยโจรสลัดปล้นและเจาะเรือของพวกเขาจนเป็นรูน้อยใหญ่หลายจุด นายแซมจึงจะนำเรือไปซ่อมที่นครศรีธรรมราช ระหว่างทางนายแซมต้องเกณฑ์ลูกเรือช่วยกันวิดน้ำออกจากเรือ นายแซมเห็นลูกเรืออ่อนระโหยโรยแรงจึงได้นำปีกไก่มาประกบกับขนมปังแล้วแจกให้คนงานที่วิดน้ำอยู่ได้ทานกันโดยใช้มือเพียงหนึ่งข้างถืออาหารชนิดนี้ ส่วนมืออีกมืออีกข้างหนึ่งไว้วิดน้ำไม่ให้เข้าเรือ สุดท้ายนายแซม สน และลูกเรือทั้งหลายก็พาเรือมาถึงนครศรีธรรมราชด้วยความปลอดภัย ระหว่างที่รอเรือซ่อมนายสนได้นำขนมปังมาประกบกับปีกไก่แบบที่นายแซมเคยทำ แล้วนำมาขายปรากฏว่าชาวเมืองนครศรีธรรมราชถูกใจอาหารนี้ จึงได้สอบถามนายสนว่านี่คืออะไร นายสนก็อธิบายไปว่ามันคือขนมที่นายแซมทำให้กินตอนวิดน้ำออกจากเรือ คนนครศรีธรรมราชก็เลยเรียกอาหารชนิดนี้ว่าขนมแซมวิดน้ำ จนต่อมานายแซมได้ทำขนมแซมวิดน้ำวางขายที่อังกฤษ ชาวอังกฤษเลยเรียกแบบสั้นๆว่า ขนมแซมวิช จนเพี้ยนมาเป็น แซนวิช จนถึงทุกวันนี้
สำหรับประเทศไทยนั้นสมัยแรกเริ่มรู้จัก แซนวิช จะคุ้นเคยกันกับไส้หมูหยองเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าเป็นแซนวิชโบราณ ที่เรียกกันว่าโบราณ นั้นมักจะต่อท้ายเมนูที่ทำมานานแล้วหาซื้อไม่ได้ตามทั่วไป มีความรู้จักกันมานาน เช่นแซนวิชโบราณ ขนมไข่โบราณ ขนมเค้กโบราณ เป็นต้น แซนวิชโบราณเป็นอาหารว่าง ที่มีมาเกือบ 20-30 ปีมาแล้วที่จะหาทานได้ง่ายในช่วงเวลานั้น ซึ่งแซนวิชโบราณในประเทศไทย จะเป็นขนมปังทาน้ำสลัดสีเหลืองประกบกันโดยมีไส้เป็นหมูหยองเป็นหลัก ตัดเป็นสามเหลี่ยม ปัจจุบันนอกจากไส้หมูหยองแล้วมีไส้ไก่หยอง หรืออื่นๆ แต่ยังคงใช้น้ำสลัดสีเหลือง สำหรับข้อมูลโภชนาการของแซนวิชหมูหยอง พบว่าแซนวิชหมูหยองที่มีปริมาณ 140 กรัม ให้พลังงานทั้งหมด 220 กิโลแคลอรี่ และมีสารอาหารต่างๆ ดังนี้ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลือโซเดียม วิตามิน น้ำตาล กากไยอาหาร โฟเลท แคลเซียม เป็นต้น
ปัจจุบันเมนูอาหารว่าง หรือเมนูหลักสำหรับบางคนอย่างแซนวิชโบราณกำลังเป็นกระแสที่มาแรงที่คนรุ่นใหม่อยากจะลิ้มลองรสชาติ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าหรือ ผู้ประกอบการขนมเบเกอรี่ต่างพากันพัฒนาคิดค้นสูตรน้ำสลัดโบราณต่างๆ และไส้อื่นๆ เพิ่มเติม โดยที่ยังคงกลิ่นอายของความเป็นขนมโบราณ ทำให้แซนวิชโบราณนอกจากที่สามารถทำทานได้เอง สามารถที่จะนำไปขายเป็นอาชีพเสริมได้อีกด้วย โดยความลับและความอร่อยของแซนวิชโบราณอยู่ที่น้ำสลัดแซนวิช
เมื่อพิจารณาการทำแซนวิชโบราณจะพบว่า ขั้นตอนการทำแซนวิชโบราณ แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ ขั้นตอนการทำน้ำสลัดแซนวิช โดยเอกลักษณ์การเป็นน้ำสลัดแซนวิชโบราณจะต้องมีสีเหลืองนวล รสชาติหวานมัน และขั้นตอนการประกอบตัวแซนวิชเข้าด้วยกัน สำหรับไส้แซนวิชโบราณนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวคือหมูหยอง นั่นคือแซนวิชไส้หมูหยอง บางครั้งอาจจะเพิ่มโบโลน่า หรืออาจจะเปลี่ยนไส้จากหมูหยองเป็นไก่หยอง เมื่อพิจารณาส่วนประกอบหลักของน้ำสลัดแซนวิชโบราณ ประกอบด้วย ไข่ไก่ น้ำตาลทราย นมข้นหวาน พริกไทย เกลือ มายองเนส น้ำส้มสายชู น้ำมันพืช และสีผสมอาหารที่เป็นสีเหลือง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมน้ำสลัดแซนวิชโบราณมีสีเหลือง นั่นเพราะสีเหลืองของน้ำสลัดโบราณมาจากการใส่สีผสมอาหารที่เป็นสีเหลืองเสริมสีสันของแซนวิช สำหรับอัตราส่วนของแต่ละองค์ประกอบจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสูตร อย่างเช่น
สุดยอดความอร่อยของแซนวิชโบราณคือน้ำสลัดสีเหลืองที่ใช้ จะต้องมีความหวาน มัน กลมกล่อม ยิ่งทำสดใหม่ยิ่งดี เพราะเมนูอาหารหวานอย่างแซนวิชไม่ควรเก็บไว้นาน แต่ปัจจุบันที่มีความรีบเร่งในการดำรงเพื่อให้ทันเวลาและการแข่งขันกันในแต่ละวันการปรุงอาหารหรือการทำเมนูง่ายๆ อย่างแซนวิชโบราณที่มีองค์ประกอบและวิธีการที่เรียบง่ายกลายเป็นการเสียเวลาที่จะหาวัตถุดิบ การปรุง โดยเฉพาะในช่วงเวลาและวันปกติ ดังนั้นการหาซื้อแซนวิชโบราณเป็นสิ่งที่สะดวกกว่า ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการทำแซนวิชโบราณนั้นใช้การวัตถุดิบและอุปกรณ์ไม่มาก ทั้งวิธีการทำที่ไม่ซับซ้อน ทำได้ง่าย ปัจจุบันแซนวิชโบราณเป็นอีกหนึ่งอาหารกระแสมาแรงที่ใครอยากลิ้มลอง และเป็นเมนูทำรายได้อีกเมนูหนึ่ง ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงสามารถที่จะขายในราคาย่อมเยาว์ แต่สำหรับครอบครัวที่อยากจะทำแซนวิชโบราณทานเองแต่ไม่รู้สูตรหรือไม่เคยทำน้ำสลัดแซนวิชก็สามารถทำแซนวิชโบราณได้ไม่ยุ่งยากอีกต่อไปเพราะมีน้ำสลัดโบราณสำเร็จรูปจำหน่าย ตรา เพียวฟู้ด
ส่วนประกอบสำคัญของแซนวิชโบราณ นอกจากไส้อย่างหมูหยองหรือไก่หยองแล้ว อีกส่วนที่จะช่วยเรียกลูกค้าได้มากคือน้ำสลัดแซนวิชโบราณ สมัยก่อนอาจจะต้องหาสูตรที่เหมาะสม น้ำสลัดจะต้องมีความหวาน ความมัน ไม่เลี่ยนให้ได้ต้องใช้เวลาในหาเรียนรู้ศึกษาสูตร ปัจจุบัน บริษัท เพียวฟู้ดส์ ช่วยลดระยะเวลาและภาระในการทำน้ำสลัดแซนวิชดังกล่าวได้ เนื่องจาก บริษัท เพียวฟู้ดส์ (Purefood) มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำสลัดโบราณพร้อมใช้ ไม่ต้องยุ่งยากในการหาสูตรหรือใช้เวลาในการจัดหาวัตถุดิบและทำน้ำสลัดเอง พร้อมทั้งยังได้น้ำสลัดโบราณที่มีรสชาติอร่อยสม่ำเสมอทุกครั้งที่นำมาทำแซนวิชโบราณ และมีอายุการใช้งานที่เหมาะสม และมั่นใจระยะเวลาการเก็บรักษาได้ เพราะ บริษัท เพียวฟู้ดส์ มีทีมงานวิจัยประเมินอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ (shelf life evaluation)
เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราขอแนะนำน้ำสลัดโบราณสำเร็จรูป เฟรช & กรีน ของบริษัท เพียวฟู้ดส์ ซึ่งใช้เมื่อไรก็อร่อยเมื่อนั้น ใช้ได้ทั้งกับการทำแซนวิชโบราณ สลัดผัก แซนวิชหมูหยอง หรือใช้กินคู่กับเครปและขนมปังก็อร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรับประทานกับโตเกียวยิ่งอร่อย จะอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นถุงพร้อมฝาปิด นอกจากนี้ บริษัท เพียวฟู้ดส์ ยังมีผลิตภัณฑ์น้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ บรรจุขวดบีบพร้อมใช้ ที่มีรสชาติกลมกล่อม เข้มข้น หวานมัน หอมอร่อย ใช้สำหรับ ทำแซนด์วิชโบราณ ทานคู่กับขนมปัง หรือทานกับสลัดทุกชนิด และยังใช้แทนมายองเนสได้ หรือเป็นท๊อปปิ้งได้ เรียกได้ว่าน้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ ไม่เพียงแต่ใช้ทำแซนวิชโบราณ แต่ยังสามารถใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกด้วย มีไว้ติดครัวคุ้มค่ามาก
ด้วยที่ บริษัท เพียวฟู้ดส์ เป็นบริษัทชั้นนำด้านเครื่องปรุงรสระดับประเทศ มีมาตรฐานรองรับการผลิตตามหลักการผลิตอาหารเพื่ออุตสาหกรรม ดังนั้นน้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ ไม่พียงแต่ผ่านมาตรฐานการผลิตหลักๆ แต่ผ่านการรับรองการผลิตอาหารภายใต้การคุ้มครองของศาสนาอิสลาม จึงมีสัญลักษณ์ของฮาลาล นอกจากนี้น้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ มีส่วนผสมที่ไม่ใส่วัตถุกันเสีย มีความสะอาด มั่นใจถึงความปลอดภัย เพราะ บริษัท เพียวฟู้ดส์ ใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต ขั้นตอนการเลือกวัตถุดิบนับว่าเป็นขั้นตอนแรกที่จะต้องทุ่มเทความใส่ใจซึ่งจะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทุกระดับ
สำหรับรสชาติของน้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ นั้นฟินสุดๆ หรือกล่าวได้ว่า ราคาหลักร้อย ความอร่อยหลักล้าน ด้วยความเข้มข้นถึงใจ ความหอม ความหวาน และความมัน ของน้ำสลัดเมื่อนำทากับขนมปัง ที่สามารถบอกได้ว่าเมื่อกัดแซนวิชหมูหยองที่ทาด้วยน้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ด ฉ่ำๆ คำแรกแล้ว เสมือนได้ย้อนสู่วัยเด็กๆ ได้จริงๆ นอกจากจะเป็นน้ำสลัดโบราณในการทำแซนวิชโบราณไส้หมูหยองแล้ว น้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ ยังเหมาะสำหรับนำเมนูอื่นๆ เช่น น้ำสลัดกุ้ง หรือ เเซนวิชสลัดโบราณไส้ไก่หยอง โดยน้ำสลัดโบราณของ ตรา เพียวฟู้ดส์ มีอายุการเก็บรักษาทั้งหมดเป็นเวลา 3 เดือน หลังจากเปิดใช้งานแล้วใช้ไม่หมดสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ อร่อยง่ายทำที่ไหนก็ได้ ประโยชน์มากกว่าหนึ่ง คุณค่าเคียงคู่ครัวและธุรกิจแซนวิช
อย่างไรก็ตามน้ำสลัดโบราณนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้แพ้อาหารที่มีส่วนประกอบของไข่ เพราะไข่คือส่วนประกอบหลักในการทำน้ำสลัดโบราณนี้ การซื้อสินค้าควรพิจารณาฉลากสินค้าก่อนเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งข้อมูลผู้แพ้อาหารจะบ่งบอกไว้ที่บนบรรจุภัณฑ์ของ ตรา เพียวฟู้ดส์ เช่นเดียวกับวันหมดอายุการใช้งาน โดยสรุปแล้วน้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ มีบรรจุภัณฑ์ให้เลือก 2 แบบ คือ แบบบรรจุถุงมีฝาปิด และแบบขวดพร้อมใช้ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ทั้งสองแบบของน้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานสะดวก และเก็บรักษาได้ง่ายหลังการใช้งาน การเก็บรักษาหลังจากการเปิดบรรจุภัณฑ์แล้วให้เก็บไว้ในตูเย็น โดยตัวน้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ มีารสชาติหวาน มัน พร้อมอมเปรี้ยวเล็กน้อย เนื้อมีสีเหลืองนวล ข้นกำลังดี เมื่อนำมาทำแซนวิชโบราณจะได้แซนวิชที่มีสีเหลืองสวยน่ารับประทาน รสชาติ หวาน มัน กลมกล่อม ไม่เลี่ยน เวปไซด์ Best Review Asia ยกให้น้ำสลัดโบราณ ตรา เพียวฟู้ดส์ เป็นหนึ่งน้ำสลัดแซนวิช ยี่ห้ออร่อยที่สุดและหาซื้อออนไลน์ได้ ปี 2023 น้ำสลัดโบราณ ตราเพียวฟู้ดส์ นอกจากสั่งซื้อออนไลน์ได้แล้วยังสามารถหาซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อ เช่น ร้าน 7-Eleven และห้างสรรพสินค้า เช่น Big C แมคโคร และ โลตัส เป็นต้น